วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

กะลัมพัก ตำนานที่หายสาบสูญไปจากโลกของเครื่องหอม นานกว่า 2500 ปี



         กะลัมพัก คือหนึ่งในตำนานเครื่องหอมชั้นสูงของโบราณ ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ยุคพุทธกาลบ่อยครั้ง  แต่ในปัจจุปัน ไม่มีใครกล่าวถึงกะลัมพักในแง่ของเครื่องหอมเลย ต่างกับกฤษณาและจันทร์หอม ที่มีบทบาทอยู่ในโลกของเครื่องหอมมาตลอด นับจากโบราณจนถึงทุกวันนี้
         กะลัมพักเป็นที่รู้จักของคนยุคนี้ในแง่สมุนไพร เป็นตัวยาชนิดหนึ่งของแพทย์แผนไทย กล่าวไว้ว่า กระลำพัก มีรสขม หอม มัน เย็น ใช้แก้ลมอังคมัลคานุสารี(เป็นลมที่พัดทั่วร่างกาย ตั้งแต่กระหม่อมถึงปลายเท้า) แก้ตรีสมุฏฐาน แก้โลหิตโทษ แก้พิษเสมหะ โลหิต และมูกเลือด บำรุงตับและปอด ทำให้มีกำลัง และว่ากระลำพักที่ได้จากต้นตาตุ่มทะเลนั้น มีรสร้อน เฝื่อน ขมเล็กน้อย มีสรรพคุณถ่ายหนอง แก้ลม(ที่มา:จากตำราพระโอสถพระนารายณ์ ) 
         ถึงแม้จะระบุว่าหอมแต่ก็ไม่มีเครื่องหอมตำหรับใดใช้กะลัมพักมาเป็นส่วนประกอบ ทำให้ความรู้ในเรื่องของกะลัมพัก ด้านความเป็นเครื่องหอม จึงไม่มีปรากฎอยู่เลยในปัจจุปัน
           เราไม่รู้ว่า " กะลัมพัก " เครื่องหอมที่โบราณกล่าวถึงไว้นั้น
           แท้จริงแล้วคือไม้อะไร?  
           วิธีสะกัดกลิ่นของกะลัมพัก ทำอย่างไร ? 
           และที่สำคัญ   กลิ่นที่แท้จริงของกะลัมพักเป็นอย่างไร ? 
          
            ลำพังกลิ่นของกะลัมพักที่ใด้จากการต้มในลักษณะของการต้มยานั้น ไม่น่าจะเป็นกลิ่นจริงของเขา เพราะกลิ่นที่ได้นี้เป็นกลิ่นของสาร Coumarin  ประเภทหนึ่ง ซึ่งเราจะพบได้บ่อยในพืชสมุนไพรอื่นๆ หลายชนิด ที่พอต้มไปนานๆแล้วจะมีกลิ่นหวานออกมา เพราะสาร Coumarin นี้จะเกิดขึ้นเมื่อได้รับความร้อนในระดับหนึ่ง       แต่เราไม่สนใจที่จะนำสารหอมที่เกิดขึ้นนี้ไปทำเครื่องหอม เพราะไม่สดวกและไม่คุ้มค่า 
         
              แล้วกลิ่นแท้ของกะลัมพักเป็นอย่างไร?  

                               คือโจทย์ที่สำคัญของเรา  

          
            เพราะเรามุ่งมั่นที่จะค้นหา "จตุคันธชาติ"  อันเป็นกลิ่นหอมในยุคพุทธกาล  
           และกะลัมพักก็คือส่วนประกอบสำคัญของกลิ่นจตุคันธชาต นี้ 
         
          ดังนั้นเราจึงต้องทุ่มเทสรรพกำลังอย่างมากมาย ทั้งเวลาและทรัพยากรเพื่อ ทำวิจัยหากลิ่น กะลัมพักออกมา
         โดยเริ่มจากความรู้ในปัจจุปัน ที่เกี่ยวข้องกับกะลัมพัก ว่ามีไม้อะไรบ้างที่เข้าข่ายความเป็นกะลัมพัก พบว่า ไม่ว่าจะเป็นกระบองเพชร, สลัดได, ตาตุ่มทะเล ล้วนจัดเป็นกะลัมพักได้ทั้งหมด และหากตีความตามคำจำกัดความของคัมภีร์โบราณที่อธิบายว่า กะลัมพักคือแก่นไม้ผุแล้วมีธาตุหอมเข้ามาแทรกอยู่ ก็จะขยายขอบเขตรวมไปถึง กฤษณา และขอนดอก(ทั้งจากพิกุลและตะแบกป่า) ด้วย 
         ข้อที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ ใช้วิธีใดสะกัดกลิ่นของไม้ข้างต้น Stream Distillation, Solvent Extract ..ฯ  
         เมื่อได้ผลจากสองขั้นตอนแรกมาแล้วก็ต้องนำมาทดสอบคุณสมบัติทางด้าน perfumary ซ้ำไปซ้ำมา ใช้เวลาเกือบสองปี
         จนในที่สุด เราจึงได้ค้นพบ  "กะลัมพัก" อันมีคุณสมบัติต้องตรงตามคัมภีร์โบราณ...ทุกประการ


 4 ชม. ผ่านไป เธอว์จึงค่อยๆ ปรากฎโฉมออกมาให้เชยชม 1 cc  เธอว์ชื่อ "กะลัมพัก" เป็นเครื่องหอมชั้นสูงในตำนาน   ที่หายไปจากวงการเครื่องหอมของเรานานแล้ว  นานเสียจนไม่มีใครจำกลิ่นเธอว์ได้ จำได้แต่ชื่อเท่านั้น  เราได้   R&D  ปลุกชีพนางให้กลับมามีชีวิตโลดแล่น  อวดโฉมกลิ่นหอมของเธอว์ ให้โลกได้รับรู้        นางเป็นส่วนผสมของ " จตุคันธชาติ "  กลิ่นพุทธกาลของเรา  ทั้งน้ำอบและน้ำปรุง อันจะออกวางตลาดช่วง  สงกรานต์  '59 นี้นะจ๊ะ...
  
            ในโลกของเครื่องหอม "กฤษณา"  จะมีบทบาทเช่นนางเอกที่มีอำนาจสูงส่งประดุจนางพญาแห่งเครื่องหอม อานุภาพของเธอจะดูดซับเอาความหอมจากสิ่งอื่นมารวมไว้ในตัว แล้วจึงเปล่งรัศมีความหอม ที่แสดงออกถึงตัวตนของเธอออกมาอย่างเพลิดเเพร้วอลังการณ์หวานพิสุทธิ์     อานุภาพแห่งกลิ่นของเธอนี้ จะครอบคลุมตั้งแต่ ต้น Top note มาจนถึงช่วงแรกของ Base note
           ส่วน " กะลัมพัก "  มีบทบาทแตกต่างจากกฤษณามาก กลิ่นตรงๆของเขาจะไม่หวานชัดเจน ออกไปทางเข้ม มันๆคล้ายรำข้าวมีโทนของ cork ผสมอยู่ด้วย ทั้งยังแฝงความสดเขียวใว้อย่างแนบเนียน  บุคลิกของกลิ่น จะคล้ายสุภาพบุรุษที่พร้อมจะเป็นโครงสร้างหลักให้กับกลิ่นหวานอื่นๆยึดเกาะและช่วยขับดันส่งเสริมให้กลิ่นหวานเหล่านั้นเบ่งบานขยายความหอมหวานออกไป นอกจากจะขับเน้นกลิ่นดอกไม้ให้หวานขึ้นแล้วยังช่วยให้สดเขียวขึ้น อย่างเห็นได้ชัด 
           ในช่วงของ Top และ Middle ตัวตนเขาจะไม่ปรากฎให้เห็นนัก กระทั่งผ่านเข้าสู่ย่าน Base เขาจึงค่อยๆเผยตัวตนออกมาอย่าง สุภาพ นุ่มนวล ในโทนของไม้เนื้อหอม แผ่วจางอ่อนๆ ละมุนนุ่มลึก โยงเข้า ไปได้ถึงจิตวิญญานอันลึกล้ำทีเดียว  กลิ่นของเขาจะ suspension ทอดยาว แล้วจึงค่อยลดระดับลงไปเรื่อยๆ  กระทั่งจางหายไปอย่างแผ่วเบา อาจจะใช้เวลา 3 - 4 ชม. 
           กลิ่นกะลัมพัก ช่วยเราให้เข้าใจถึง คำว่า " เครื่องหอมชั้นสูง " ได้เป็นอย่างดี เพราะเครื่องหอมเกรดสูงและเกรดต่ำ จะต่างกันอย่างชัดเจนที่ท้ายกลิ่น  สัมผัสแรกๆของเครื่องหอมจะแยกได้ยาก ว่าเป็นเครื่องหอมเกรดใด แต่พอเวลาผ่านไป ความแตกต่างของระดับเครื่องหอมจะปรากฎชัดขึ้นๆ จนท้ายสุดช่วงของ base note แม้จมูกที่ไม่เคยได้รับการฝึกก็ยังสามารถแยกแยะระดับของเครื่องหอมได้  เครื่องหอมเกรดต่ำ กลิ่นท้ายๆจะกระด้าง, หยาบ, คลื่นเหียน, หลอน ฯ แสดงออกถึงความไร้ค่าและความเป็นสารเคมีออกมาให้เห็นอย่างเปิดเผย  
           ตรงข้ามกับเครื่องหอมชั้นสูง ที่พอเวลายิ่งผ่านไป ก็จะยิ่งเปร่งรัศมีของความมีชาติตระกูลสูงส่งออกมาให้เราได้เห็น ชัดขึ้นๆ  
           ดังเช่น  " กะลัมพัก "  นี้เอง

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

จตุคันธชาติ...กลิ่นจากพุทธกาล(2/2)


จตุคันธชาติ...กลิ่นจากพุทธกาล(2/2)


กลิ่นจากพุทธกาล (2/2)
จากนิตยสาร “ ดิฉัน  (30เมษายน2557)       
คอลัมน์       เป็นหู เป็นตา
โดย            ศิเรมอร อุณหธูป

หอมพระพายชายพัดมารินริน
หอมกล่ำกลิ่นดอกไม้กลั่นจันทร์กะพ้อ
เขี้ยวกระแตเกสรอวลชวนเน้าพะนอ
หอมเคล้าคลอรินใจ ใสทั้งดวง

“น้ำปรุงเทวิกัญญ์ เป็นผลผลิตจากจิตที่ผ่านการปฏิบัติวิปัสสนา”
เป็นคำพูดแรกของ จามรเกียรติ ลาภธรรมนนท์ ในบทบาท
ของผู้ปรุงทำให้ฉันกระหายที่จะรู้ถึงสาเหตุ
“เครื่องหอมสมัยโบราณขาดช่วงการถ่ายทอดสูญหายไปมาก
เราไม่สามารถจินตนาการได้ถึงลักษณะของกลิ่นเหล่านี้ได้
เช่น ขอนดอก , กะลัมพัก, ดอกไม้จากแดนโยนก ฯ 
จนปัจจุปัน เรามีเครื่องหอมดั้งเดิมที่เหลือให้เห็นเป็นรูปธรรม
จริงๆเพียงน้ำอบและน้ำปรุง น้ำอบนั้นเป็นของโบราณที่ตกทอด
กันมานาน เป็นเครื่องหอมที่แสดงความเป็นไทยได้อย่างแท้จริง
ส่วนน้ำปรุงเพิ่งจะปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นการรับเอา
เทคนิควิธีการทำ perfume มาจากชาวตะวันตกและดัดแปลง
ให้มีลักษณะเป็นไทยโดยเพิ่มกลิ่นแบบไทยๆเข้าไป เช่น เตย
มะกรูด เนียม และดอกไม้อื่นๆของเรา แต่พอเริ่มมีกลิ่น
สังเคราะห์เข้ามาปะปนทำให้คุณภาพและคุณค่าของ
น้ำปรุงลดลง และหยุดการพัฒนา ในขณะที่ วงการ perfume
ตะวันตกพัฒนาเทคโนโลยี่ของเขามาตลอด น้ำปรุงจึงค่อยๆ
หมดบทบาทไป
         


     เริ่มต้นผมทำน้ำปรุงตามวิธีดั่งเดิม แต่รู้สึกได้ถึงข้อจำกัด
ตามที่ได้พูดไว้ข้างต้น จึงต้องกลับไปเรียนเกี่ยวกับพื้นฐานของ
สิ่งเหล่านี้ก่อน คือเรื่องของน้ำมันหอมระเหย(Essential Oil)
น้ำมันหอมระเหยเป็นพื้นฐานที่ดีของ perfumery  เริ่มตั้งแต่
คุณสมบัติของเขา แต่ละชนิดเป็นอย่างไร กลิ่นเป็นอย่างไร
วิธีสกัดทำอย่างไรฯ แล้วจึงนำความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้
สร้างน้ำปรุงให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับ  Natural Perfume
          เมื่อถึงขั้นตอนที่จะต้องสร้างสรรค์กลิ่น (Blend)
ขอยอมรับว่า ยังไม่เก่งเหมือน Perfumer อาชีพ หากจะทำ
น้ำปรุงกลิ่นเดิมๆออกมาก็ไม่ท้าทาย อยากสร้างสรรค์
กลิ่นใหม่ๆให้หลุดจากกรอบเดิม แต่ต้องมีคุณค่าพอที่จะมา
ทดแทนของเดิมได้ จึงติดอยู่ ณ.จุดนี้นาน
          เมื่อมองย้อนหลังไปแล้ว งานที่ทำมาทั้งหมดใช้สมอง
ความคิดและเหตุผลเป็นสิ่งขับเคลื่อนทั้งสิ้น เมื่อเจอทางตัน
จึงต้องหาแนวทางอื่น จึงหันมาเดินตามแนวทางของจิต
ให้จิตเขานำทาง ให้จิตเขาทำงานของเขาเอง
ในฐานะชาวพุทธ วิธีการฝึกจิตที่ดีสุดคือ “ วิปัสสนา ”
          เมื่อเข้าสู่โลกของธรรมแล้ว การมองโลกก็เปลี่ยน
ไปสู่อีกมิติหนึ่ง ความหอมจากเครื่องหอมที่เราคุ้นเคยก็เปลี่ยน
ไปเป็นความหอมของ ศิลธรรมความดี ใจความหนึ่งจาก
พระไตรปิฎกกล่าวว่า กลิ่นของจตุคันธชาติ แม้จะหอมอย่างไร
ก็ไม่สู้กลิ่นของสัตบุรุษได้ จตุคันธชาติหอมทวนลมมิได้
แต่กลิ่นของสัตบุรุษนั้นหอมทวนลมได้ เพราะเป็นกลิ่นของศิล
กลิ่นของคุณธรรม จึงหอมได้ทั้งตามลมและทวนลม”
         ถึงตรงนี้ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของพระปฎิบัติดี
ปฎิบัติชอบรูปหนึ่ง ท่านกล่าวถึงผู้เจริญในธรรมจนถึง
ระดับหนึ่ง จะมีกลิ่นหอมเฉพาะตนที่ต่างกัน บางคนคล้าย
ดอกมะนาว – บ้างละม้ายคล้ายดอกข่าเป็นต้น
ท่าจะคือเรื่องเดียวกันกระมัง
      “ จากนั้น ทำให้ผมมองเห็นคุณค่าของภูมิปัญญา
คนสมัยโบราณ รู้สึกอัศจรรย์ใจ จึงมุ่งเน้นศึกษาค้นคว้า
กลิ่นจากในตำนาน โดยมีจตุคันธชาติเป็นหลัก จนสามารถ
ชุบชิวิตกลิ่นนี้ขึ้นมาได้ต้องตามตำหรับโบราณ
และด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับ Natural Perfume.


วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

จตุคันธชาติ...กลิ่นจากพุทธกาล(1/2)


จตุคันธชาติ...กลิ่นจากพุทธกาล(1/2)


กลิ่นจากพุทธกาล (1/2)
จากนิตยสาร “ ดิฉัน  (30เมษายน2557)       
คอลัมน์       เป็นหู เป็นตา
โดย            ศิเรมอร อุณหธูป
                  พริ้งพราวด้วยหมู่ไม้                  หอมหวาน
          หญ้าฝรั่นจันทร์กระวาน                      ชะลูดเลื้อย
          กฤษณาโกดกำยาน                          ขอนดอก
          กลิ่นกระหลบอบเจื้อย                       ทั่วทั้งเนินไศล

    คราที่ฉันได้กลิ่นหอมพิเศษหากพันลึกนักยามนี้ ไม่บทกลอน
ของท่านหนึ่งท่านใดที่เกี่ยวคล้องกับดอกไม้นานาพันธุ์มักผุดเผย
เข้ามายังห้วงใจ...ร่ำไป   ครานี้จากโครงสุภาษิตพระนิพนธ์  
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา คลอล้อเข้ามา
ในความรู้สึก
     ร้านเล็กๆ “เทวิกัญญ์” ยังแอบซ่อนน้ำปรุง เทวิกัญญ์ สูตร
สำคัญไว้อีกสิ่ง เพิ่งปรุงเสร็จใหม่หมาด น้ำนี้สุขุมละเอียดอ่อน
ราวกับ “เอาอมฤตมารินรด” กล่อมกลิ่นดอกไม้กลั่นจนกรุ่นกำจาย
หอมตรลบอาบอวล ชวนเคลิ้ม บางคราวได้ความรู้สึกราว...ลอย
ฟ้ามาในเวหน
     ผู้ปรุงเป็นนักประพันธ์เพลง Orchestral Music เคยเล่นดนตรี
ประจำวง Bangkok Symphony Orchestra มาก่อน เพลงชื่อ
Ruth ของเขาที่แอบแต่งไว้ ยังไม่ได้เคยเผยที่ไหน หนักแน่น
หากพริ้งพราวราว...ลอยฟ้ามาในเวหน เช่นเดียวกับน้ำปรุง
“กลิ่นจตุคันธชาติ” และ “Siam Jasmin” สองกลิ่นซึ่งทำให้
ผู้หญิงอย่างฉันลืมน้ำหอมทุกกลิ่นในโลก
ยกเว้น ‘ Quelque Fleur’ น้ำหอมฝรั่งเศสสมัยน้ายังสาวและ
ฉันยังเด็ก
     ดอมดมจตุคันธชาติ-กลิ่นจากพุทธกาล พลางเปิดเพลงชื่อ
Ruth ของเขาสดับไปด้วย โอ้ โลกภายใต้กลิ่นและเสียงจากการ
รังสรรค์ของชายคนเดียวกันช่างพิเศษในครรลองอารมณ์ หมาย
ถึงในครรลองอารมณ์ของผู้หญิงอย่างฉันเท่านั้นนะคะ ไม่ได้หมาย
ถึงใครอื่นที่อยู่นอกเหนือ
   
















     ถ้าหากคุณมีอารมณ์ร่วมในแบบฉัน รู้ว่าเขาคิด-สร้างดนตรี
จากกลิ่นน้ำปรุงจตุคันธชาติ และกลิ่น Siam Jasmin ขึ้นมา
ด้วยเล่า เพื่อประกอบการใช้แตะแต้ม การละเลียดลึก 
เพื่อเข้าถึงกลิ่นให้ถึงที่สุด ตรงปลายทางแห่งกลิ่น
     อือม... มันอาจเป็นความอวลคว้างกลางฟ้า เป็นธรรมารมณ์
หรืออาจเป็นความรัญจวน ชวนเคลิ้ม เป็นแรงบันดาลใจสำหรับ
การรังสรรค์สิ่งใหม่ เป็นการกล่อมรุนเบาๆก่อนหลับ มันอาจเป็น
มิติลึกลับของความรู้สึก เป็นความบริสุทธิ์สะอาดหมดจด
เป็นความพิสุทธิ์ของกลิ่นล้วนๆ อันเป็นธรรมแด่ผู้ใช้ เนื่องเพราะ
ปราศจากการแซมแทรกกลิ่นที่ไม่เป็นธรรมชาติใดๆทั้งนั้น
ซึ่งเป็นส่วน ‘ กดประสาท’  
     สำหรับฉันมันแทบเป็นทั้งหมดที่กล่าวถึง โดยเฉพาะเป็น
แรงบันดาลใจให้ถ้อยคำเกิดท่วงทำนองปรากฏ

*** ยังไม่จบนะคะ มีต่ออีก ตอนคะ ติดตามได้ในโพสต์หน้าคะ****

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

จตุคันธชาติ เครื่องหอมสำหรับบูชาพระพุทธเจ้า


จตุคันธชาติ...เครื่องหอมสำหรับบูชาพระพุทธเจ้า


การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยของหอม
มีปรากฏมานับแต่สมัยพุทธกาล
สถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ เรียกเต็มว่า
"พระมูลคันกุฎี" ในพุทธประวัติ เล่าว่าสถานที่ประทับของ
พระพุทธเจ้าทุกแห่งจะมีผู้นำของหอมนานาชนิดไม่ว่าจะเป็น
ไม้หอม ดอกไม้หอม เป็นต้น มาบูชาพระพุทธเจ้ามิได้ขาด
โดยประดับไว้ภายในที่ประทับบ้าง วางเรียงรายอยู่โดยรอบบ้าง
โดยมุ่งบูชาพระพุทธเจ้าด้วยกลิ่นหอม 
นอกจากดอกไม้, แก่นไม้หอม ฯ ดังกล่าวแล้ว ยังมีเครื่องหอม
อีกชนิดหนึ่ง ที่ผู้คนนิยมนำมาบูชาพระพุทธเจ้า ณ.คันธกุฎี
กันอย่างแพร่หลายเรียกว่า “ จตุคันธชาติ 
 “ จตุคันธชาติ  คือตำหรับการปรุงเครื่องหอมในสมัยนั้น
โดยนำเอาเครื่องหอม 4 ประเภท ( ชาติสี่ ) มาปรุงรวมกัน
แต่อาจจะเนื่องมาจากการแปลความที่ไม่ตรงกันหรือเดิมอาจ
มีหลายตำหรับอยู่แล้ว จึงทำให้ส่วนผสมของ“จตุคันธชาติ
ที่พบในชั้นหลังนี้ไม่ค่อยตรงกัน แต่ส่วนผสมหลักของทุก
ตำหรับนั้นใกล้เคียงกัน โดยวนเวียนอยู่ที่ จันทร์หอม ,
กฤษณา ,  กะลัมพัก ,  กำยาน


จันทร์หอม(Sandalwood), กฤษณา(Agarwood),
กำยาน(Benzoin) และกะลัมพัก  ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องหอมชั้น
สูงมาแต่โบราณ น้ำมันหอมจากธรรมชาติแท้ของเครื่องหอม
เหล่านี้จะบริสุทธิ์และหอมทนนาน แม้เสี้ยวอณูเล็กๆก็มี
พลานุภาพความหอมที่มากมายมหาศาล
หากพิจารณากันในด้าน Perfumery   เครื่องหอมทั้งสี่ชนิดนี้
นอกจากจะมีกลิ่นที่หอมหวานเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแล้ว
ทั้งหมดยังช่วยขับดันกลิ่นของดอกไม้ให้มีแอมพลิจูดขยาย
มากขึ้น อีกทั้งช่วยตรึงกลิ่นให้กับ perfume ทำให้ perfume
มีความหอมที่ทนนาน(Long lasting) และคงตัว (Stabilize) 
นับเป็นเครื่องหอมที่มีประโยชน์และคุณค่าอย่างยิ่ง
สมกับที่ ได้รับฉายา ว่า “ เครื่องหอมชั้นสูง ” มาแต่โบราณ.

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

น้ำอบ มรดกกลิ่นหอมของชาวสยาม(3/3)

น้ำอบ มรดกกลิ่นหอมของชาวสยาม(3/3)

ที่มาของกลิ่น..(II)


น้ำอบ # 3   ที่มาของกลิ่น(ภาค2)...การปรุงกลิ่น
         คือขั้นตอนที่นำเอา หัวน้ำหอม , พิมเสน , ชะมด มาผสมเข้ากับแป้งหินแล้วจึงนำส่วนผสมที่ได้ไปละลายลงในน้ำอบ 
         จุดสำคัญที่อยากให้โฟกัสคือ... "หัวน้ำหอม" น้ำอบในยุคปัจจุบันนี้ วอลลุ่มหรือสัดส่วนหลักในโครงสร้างของกลิ่นจะได้มาจาก  "หัวน้ำหอม"    นี้... นี่ เอง !      หัวน้ำหอมนี้เดิมทีก็คือ Essential Oil  ที่ได้จากการกลั่น ดอกไม้ , พืชพรรณ , สมุนไพรจากธรรมชาติ   
         สมัยก่อนมี essential oil ปรากฎในบ้านเราน้อยมาก ไม่กี่ชนิด ที่รู้จักและคุ้นเคยกันดีคือ Sandal oil ที่เราเรียกกันว่า" น้ำมันจันทร์" ซึ่งยุคนั้นมีแหล่งผลิตอยู่ที่อินเดีย คงถูกนำเข้ามาโดยพ่อค้า 
         ส่วน "กฤษณา" แม้จะถูกกล่าวถึงบ่อยมากในคัมภีร์โบราณว่าเป็นเครื่องหอมชั้นสูง แต่เราก็ไม่เคยพบสูตรเครื่องหอมไทยสูตรใดที่มีส่วนผสมของกฤษณาในรูปของ essential oil เลย  เคยเห็นแต่เพียงการใช้กฤษณาในรูปของการบดให้เป็นผง  แล้วเผาไฟให้เกิดกลิ่นหอม เช่น ธูป 
         หัวน้ำหอมกลิ่นดอกไม้เข้ามามีบทบาทในสังคมไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5  โดยนำมาผสมกับแป้งหินร่วมกับน้ำมันจันทร์ เพื่อเพิ่มกลิ่นดอกไม้ให้กับน้ำอบ ก่อนหน้าที่จะมีหัวน้ำหอมนั้น หากต้องการ boosting กลิ่นหวานของดอกไม้  คนสมัยก่อนต้องใช้วิธี นำเอาเกสรดอกไม้ มาคลุกกับแป้งหิน  เช่นเกสรดอกพิกุล , บุนนาค, สารภี    
         เช่นนี้ น้ำอบในยุคนั้น จึงจัดเป็นเครื่องหอมจากธรรมชาติแท้    บริสุทธิ 100% แต่ความเป็นธรรมชาติแท้ 100 % นี้ อยู่ได้ไม่นานนัก นับจากที่ได้เริ่มรับเอาหัวน้ำหอมจากตะวันตกเข้ามาใช้ เพราะในช่วงเวลาอันไล่เลี่ยกันนี้กลิ่นเคมีสังเคราะห์ก็เริ่มแพ่รหลายเข้ามาในวงการเครื่องหอมบ้านเรา แทนที่หัวน้ำมันหอมธรรมชาติ
         แม้คุณภาพจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่ากันอย่างเทียบไม่ติด จึงทำให้  Essential oil หมดบทบาทไปจากวงการเครื่องหอมไทย แก่นสารหลักของกลิ่นน้ำอบที่เคยได้จาก  Essential oil จากธรรมชาติ ก็เปลี่ยนไปเป็น กลิ่นจากหัวน้ำหอมเคมีสังเคราะห์
         ที่น่าสังเกตุในขั้นตอนนี้คือภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนที่สามารถผสมหัวน้ำหอมลงในน้ำอบใด้โดยไม่แยกชั้น  แม้จะปรับสภาพน้ำธรรมดาให้สามารถอุ้มกลิ่นได้ดีขึ้นทนทาน(stabilize)ขึ้นในขั้นตอนที่ 1 และ 2  แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หัวน้ำหอมละลายลงในน้ำอบได้สดวกราบรื่น การที่จะทำให้หัวน้ำหอมซึ่งมีขั้วเป็นน้ำมันให้ละลายลงไปได้ในน้ำ ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในสมัยก่อนที่เทคโนโลยียังต่ำ คนโบราณแก้ปัญหานี้โดยใช้แป้งหินเข้ามาเป็นตัว emulsifier ผสานส่วนที่ชอบน้ำ (hydrophillic) ให้ละลายเข้ากันกับส่วนที่ไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) จึงแก้ปัญหาแยกชั้นได้อย่างชาญฉลาด
    
     อบร่ำควันเทียน   เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำน้ำอบ  หลังจากผสมแป้งหินและเครื่องปรุงต่างๆลงในน้ำอบแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือนำน้ำอบที่ได้ มาอบร่ำด้วยเทียนอบ
     หลักๆแล้วเทียนอบ  ทำมาจาก ขี้ผึ้ง , ผงแก่นจันทร์ , ผงกำยาน  ผงมะกรูด และ ...
            
                   ..... หัวน้ำหอม   (...อีกแล้วครับท่าน..)

หัวน้ำหอมนี้ ก็เป็นชนิดเดียวกันกับที่ใช้ผสมกับแป้งหินในหัวข้อที่แล้ว ซึ่งชัดเจนว่าเป็นกลิ่นสังเคราะห์แท้ 100%  ธรรมชาติของกลิ่นสังเคราะห์นั้นโดยปกติก็เห็นพิษภัยไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ที่น่ากังวลคือมีสารอื่นแอบแฝงมาโดยไม่ได้รับเชิญ แต่ที่น่ากลัวมากคือหากกลิ่นสังเคราะห์เหล่านี้ได้รับความร้อน จะปล่อยสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งออกมา
         ดังนั้นการนำเอากลิ่นสังเคราะห์มาทำเทียนอบ จึงเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจุดเทียนอบจะถูกจุดไฟเมื่อเราต้องการกลิ่นหอม เท่ากับให้ความร้อนโดยตรงแก่กลิ่นสังเคราะห์ 


         ควันที่ได้ออกมานั้นจึงไม่ปลอดภัยอย่างรุนแรง.

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

น้ำอบ มรดกกลิ่นหอมของชาวสยาม(2/3)


น้ำอบ มรดกกลิ่นหอมของชาวสยาม(2/3) 

ที่มาของกลิ่น...


น้ำอบ # ๒  ...ที่มาของกลิ่น
เราสามารถแบ่งกระบวนการสะกัดและบรรจุกลิ่น ของน้ำอบ
ได้ 4 ขั้นตอน คือ
1) สะกัดกลิ่นจากชะลูดและเตย - ขั้นตอนแรกการทำน้ำอบ 
คนสมัยก่อนเรียนรู้ที่จะสกัดกลิ่นของชะลูดและเตยด้วยการต้ม
ในน้ำสะอาดเพราะกลิ่นแท้ของเครื่องหอมสองชนิดนี้จะปรากฎ
ออกมาได้ ต้องใช้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงระดับหนึ่ง จะได้ 
coumarin ออกมา ที่นอกจากจะหอมหวานอ่อนๆ นุ่มละมุน
อยู่ลึกๆในระดับ Base note แล้ว ยังมีบทบาทสำคัญช่วยตรึง
กลิ่น (Fixative) ของดอกไม้หรือกลิ่นหอมอื่นๆในระดับบน
(top ,middle note) เอาไว้ได้ดี ทำให้ได้น้ำอบที่หอมติด
ทนนาน ( Long-lasting )

2)   อบ - ร่ำ 
ในทัศนะอันละเอียดอ่อนของครูบาอาจารย์สมัยก่อน จำแนก
แจกแจงการอบ และการร่ำ ไว้ว่าต่างกัน พอจะสรุปง่ายได้ว่า
การอบ ครอบคลุมการถ่ายทอดกลิ่นในวงกว้างกว่าการร่ำ
การร่ำคือการอบรูปแบบหนึ่งที่ใช้ความร้อนทำให้เกิดควันออกมา
ร่ำสิ่งที่ต้องการให้หอมด้วยควันนั้น
...ใกล้กันซะเพียงนี้  เรียกรวมกันว่า "อบร่ำ" ก็แล้วกัน
   เมื่อกรองน้ำที่ได้จากขั้นตอนแรกแล้ว ก็เอามาร่ำควันที่ได้
จาก กำยาน,แก่นจันทร์(Sandalwood),น้ำตาลทรายขาวน้ำตาล
ทรายแดง และผิวมะกรูดแห้งป่น
ขั้นตอนนี้นอกจากจะทำให้น้ำหอมขึ้นแล้ว ยังเป็นการมุ่งปรับน้ำ
ให้มีคุณสมบัติอุ้มกลิ่นได้ดียิ่งขึ้น เสริม หรือย้ำเพิ่มเติมขั้นตอน
แรกให้สมบูรณ์แบบเต็มที่
   กลิ่นหอมที่ได้จากขั้นตอนนี้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับกลิ่นหอม
ที่ได้จากขั้นตอนแรก เป็นการพยายามปรับ Base note ให้เต็มอิ่ม
และมีช่วงกว้าง เพื่อตรึงกลิ่นหอมด้านบนให้ได้หลากหลายและ
มั้นคงดีที่สุด
   เมื่อร่ำด้วยควันของกำยาน,แก่นจันทร์,น้ำตาลทราย และ
ผิวมะกรูดดีแล้ว ก็นำน้ำทีได้นั้นมาอบหรือลอยด้วยดอกไม้สด
ที่ใช้กันอย่างแพ่รหลายคือ มะลิ,จำปี,จำปา,กระดังงา,การเวก
กุหลาบ ฯ
หากถามว่า สามารถใช้น้ำเปล่ามาลอยอบด้วยดอกไม้สดเลย
จะได้หรือไม่,น้ำที่ได้จะหอมมั๊ย  คำตอบคือ ได้ ไม่ผิดกติกา
แต่อย่างใด น้ำที่ได้ก็จะหอมพอสมควร แต่จะไม่คงทน
ไม่เกินชั่วโมง กลิ่นก็จะสลายจางหมดไป
    สาเหตุเพราะเกิดปฎิกริยาอ๊อกซิเดชั่นในน้ำ ทำให้กลิ่น
สลายเปลี่ยนสภาพไปหมดในเวลาอันรวดเร็ว  วิธีลดผลของ
ปฎิกริยาอ๊อกซิเดชั่น  คือใช้ตัว Fixative เข้ามาช่วย 
คนโบราณจึงใช้ ชะลูด เตย กำยาน แก่นจันทร์... ด้วยสอง
ขั้นตอนข้างบนนี้เอง 
   จึงขอกระซิบถึง Guru เจ้าของตำหรับน้ำอบที่ลอยดอกไม้สด
ก่อนเป็นลำดับแรก แล้วนำน้ำที่ได้ไปต้มต่อนั้น ผิดอย่างมหันต์
เป็นการทำลายกลิ่นดอกไม้อย่างโหดร้ายที่สุด กว่าที่เราจะได้
กลิ่นอันละเอียดอ่อนของดอกไม้มานั้น ลำบากยากเย็น
แทนที่จะพยายามถนอมรักษาเอาไว้ในน้ำอบ  กลับเอาไป
ตั้งไฟต้มทิ้ง น่าเศร้าใจจริงๆ
  
    ขอต่อเรื่องที่มาของกลิ่นในโพสต์หน้าแล้วกันนะคะ

ให้เป็นตอนที่ 3 ของเรื่องน้ำอบ แต่เป็นภาค 2 ของเรื่อง
"ที่มาของกลิ่น"  เป็นเรื่องของการ "ปรุง"น้ำอบ จ้า.

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

น้ำอบ มรดกกลิ่นหอมของชาวสยาม(1/3)


น้ำอบ 1 มรดกกลิ่นหอมของชาวสยาม(1/3)


     ประสบการณ์กลิ่นจากเครื่องหอมทั่วๆไปที่เราเคยสัมผัส
ในยุคนี้ ไม่อาจเทียบเปรียบได้กับกลิ่นของน้ำอบไทยในอดีต
แม้จะเรียบๆแสนธรรมดาไม่ฟุ้งเข้มโฉบเฉี่ยวเหมื่อนกลิ่นหอม
ในยุคใหม่ แต่หากเพ่งพิศด้วยจิตอันละเอียดอ่อนแล้วจะสัมผัส
ได้ถึงเสน่ห์อันล้ำลึกละเมียดละมัย ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกลิ่น
หอมนวลเรียบง่ายอันแสนจะธรรมดานี้
     กลิ่นหอมของน้ำอบคือรูปลักษณ์ที่ปรากฎออกมาด้วยแนว
คิดเดียวกันกับความงามแบบดั่งเดิมของสัตรีไทย ที่ไม่ได้เน้น
ความงามแบบสวยฉูดฉาดบาดจิต หากแต่สวยอย่างอ่อนหวาน
อ่อนโยน งามพิศ เรียบร้อย ทั้งกริยา วาจา มารยาท
รวมถึงจิตใจอันงดงามสูงส่งอีกด้วย คืองามพร้อมทั้งภายนอก
และภายใน เปรียบดังกลิ่นหอมของน้ำอบที่ไม่ได้หอมฟุ้ง
ตลบอบอวลเหมือนดอกไม้กลิ่นแรงๆ หรือเครื่องหอม
จากตะวันตก  
     กลิ่นของน้ำอบนั้น หวานละมุนอ่อนโยน แผ่วเบาอยู่ในที
แต่หากสามารถซึมแทรกเข้าไป ยังความชุ่มชื่นให้แก่
จิตวิญญานในส่วนลึกได้อย่างนุ่มนวล
     เบื้องหลังความหอมนี้คือภูมิปัญญาของบรรพบุรุษนักปรุง
เครื่องหอมของเรา ที่ได้สะสมและสืบทอดความรู้ด้านนี้กันมา
แต่โบราณ 
     น้ำอบ ก็เหมือนศาสตร์และศิลปแขนงอื่นๆของไทยที่ผ่าน
การพัฒนามาอย่างยาวนาน จนถึงจุดอิ่มตัวสูงสุด
ลงตัวในทุกๆด้าน น้ำอบไม่อาจพิจารณาในมิติของ Perfumary 
แต่เพียงด้านเดียวได้ เพราะภูมิปัญญาของบรรพบุรุษเราได้
รวมเอาศาสตร์ด้านอารยุเวชเข้าไว้ในเนื้อหาของน้ำอบด้วย
เครื่องปรุงบางชนิดของน้ำอบเป็นส่วนประกอบของยาหอม
โบราณของไทย สื่อถึงภาพของแนวคิดการควบคุมทิศทาง
ตัวยาให้ไปยังจุดหมายทีต้องการของแพทย์แผนไทย
สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นอย่างลางๆ
     น้ำอบเป็นเครื่องหอมชั้นสูงของไทยโดยแท้ ที่นำเอาศิลป
ความรู้ในด้านนี้เกื่อบทุกแขนงเข้ามาใช้ จึงสามารถกล่าวได้ว่า
น้ำอบ คือพัฒนาการสูงสุดของเครื่องหอมไทยดั้งเดิม
โดยเหตุนี้ข้อมูลและเนื้อหาที่เกี่ยวกับน้ำอบจึงมีอยู่มาก  
ซึ่งเราจะค่อยๆทะยอยนำเสนอเป็นตอนๆต่อไป
ลูกค้าและผู้สนใจสามารถติดตามเราได้ ในเพจนี้  
และอย่าลืม  Like , ment , share  ให้เราด้วยนะคะ

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

โรสแมรี่ ..สมุนไพรแห่งความทรงจำ

โรสแมรี่ ..สมุนไพรแห่งความทรงจำ



         Rosemary  มาจากภาษาลาติน  "Rosemarinus"  หมายถึง" น้ำค้างทะเล " ( ros - น้ำค้าง ,marinus- ทะเล )         อาจเนื่องมาจากมีถิ่นกำเนิดแถบรอบทะเลเมอดิเตอ เรเนี่ยน และออกดอกสีฟ้าเปล่งประกายครอบคลุมไปทั่วในช่วงกลางฤดูหนาว คล้ายหยดน้ำจากทะเลแผ่กระจายพร่างพรมไปทั่วอาณาบริเวณ จึงเป็นที่มาของชื่อนี้           มีบทกวีโบราณกล่าวถึงความสัมพันธ์ของโรสแมรี่กับทะเลไว้
          
       " ... ณ ถิ่นที่ โรสแมรี่ เติบโต     ย่อม..


       ยินเสียงกระซิบอันแผ่วเบา จากทะเล ได้ ...  "
    
         Rosemary ผูกพันกับตำนานและประเพณีโบราณมานานเป็นพันๆปี เริ่มต้นอย่างชัดเจนในอารยธรรมของกรีกและโรมัน ที่ยกย่องให้โรสแมรี่เป็นพืชพรรณศักดิ์สิทธิ์ สามารถขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปได้ ทั้งยังช่วยให้สุขภาพและความทรงจำดีขึ้น ทหารโรมันนำเอาโรสแมรี่แพ่รหลายเข้าไปในยุโรป และอังกฤษ จนที่สุด  ข้ามไปถึงโลกใหม่           นักเรียนชาวกรีกในยุคโบราณ จะแขวนโรสแมรี่ไว้รอบๆคอ หรืออาจแซมผมเอาไว้ เพราะเชื่อว่าช่วยทำให้ความจำดีขึ้น บางคนนำเอาโรสแมรี่วางไว้ใต้หมอนในคืนก่อนสอบด้วย           คืนคริสต์มาสอีฟในยุคกลาง โรสแมรี่จะถูกวางกระจัดกระจายไว้ตามพื้นเพื่อให้คนเหยียบย้ำ กลิ่นของโรสแมรี่จะกระจายฟุ้งไปในอากาศ ด้วยความเชื่อที่ว่า หากใครใด้กลิ่นโรสแมรี่ในคืนนี้ จะมีความสุขและพลานามัยสมบูรณ์ไปตลอดทั้งปี จึงเป็นต้นกำเนิดอันยาวนานของช่อมาลาโรสแมรี่  ที่แขวนในเทศกาลคริสต์มาสมาจนถึงทุกวันนี้         Sir Thomas More  รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ  เขียนถึงโรสแมรี่เอาไว้ว่า
          
                       "...   เพราะว่าเป็น โรสแมรี

                จึงยอมให้แผ่คลุมรั้ว รอบสวน 
                มิใช่เพียงเพื่อ  ให้ " ผึ้ง"  เท่านั้น
                แต่เพราะ เป็นพฤกษาพรรณอันศักดิ์สิทธิ์ 
               ที่ช่วยให้ระลึกถึง  ความทรงจำ และ มิตรภาพ ... " 





    
    

         Rosemary คือสิ่งมงคลในพิธีแต่งงานของชาวยุโรปมาแต่โบราณ เป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำและความสื่อสัตย์ จุ่มโรสแมรี่ลงในไวน์อันศักดิ์สิทธิ์สำหรับดื่มในพิธีเพื่อย้ำเตือนให้บ่าวสาวจดจำช่วงเวลาอันสำคัญของชีวิตและคำสาบานที่ให้ไว้แก่กัน
         เจ้าสาวจะมอบกิ่งโรสแมรี่ให้เจ้าบ่าวถือไว้  ในคืนแต่งงาน    โรสแมรี่อบแห้งจะถูกวางไว้ที่ผ้าปูที่นอน เพื่อช่วยเป็นหลักประกันให้พวกเขาสื่อสัตย์ต่อกันตลอดไป โรสแมรี่ยังถูกประดับไว้ทั่วไปในงาน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า "แม้พวกเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว แต่ขอให้จดจำญาติพี่น้องและเพื่อนๆไว้  อย่าได้ลืมเลือน"
     Rosemary Oil (essential oil ที่ได้จากการกลั่น) กลิ่นจะสด เข้ม ในโทน woody แบบสมุนไพร มีกลิ่นมิ้นท์ใสสดชัดเจน ชวนให้นึกถึง Spike Lavender    แต่หากเป็น Rosemary Extract (ได้จากการสะกัดโดยวิธีตัวทำละลาย)กลิ่นจะต่างออกไปไม่สดเหมื่อนได้จากการ กลั่น เหมือนเปลี่ยนบรรยากาศจากชายฝังทะเลเมอร์ดิเตอเร เนี่ยนที่มีแสงอาทิตย์อันสดใส ไปเป็นบรรยากาศของบาร์บิคิวแกะในอังกฤษภายใต้ท้องฟ้าอึมครึม ประมาณนั้น     โรสแมรีประกอบด้วยฟลาโวนอยด์หลายชนิด เช่นไดออสมิน(diosmin) ไดออสเมติน(diosmetin) เจนกวานิน(genkwanin) และเอพิเจนิน(apigenin) สารเหล่านี้เป็นเม็ดสีที่ให้สีขาวและเหลืองในโรสแมรี การทดสอบในห้องทดลองพบว่ามีประโยชน์มาก แม้ยังไม่รู้ว่าต้องกินเท่าไรจึงจะได้ประโยชน์เต็มที่ แต่เป็นสรรพคุณที่น่าสนใจ เช่นเอพิเจนินช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งตับอ่อนไดออสมินเสริมความแข็งแรงของผนังหลอดเลือดและ เจนกวานินอาจป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นโดยกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนสารประกอบอื่นของโรสแมรี คือกรดโรสมารินิก (rosmarinic acid) มีฤทธิ์ต้านอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ สารสกัดโรสแมรียังต้านไวรัสได้อีกด้วย     งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้นักวิจัยของวิทยาลัยพยาบาลมหาวิทยาลัยฟลอริดาแอตแลนติก ทดสอบผลจากการสูดดมน้ำมันหอมระเหยโรสแมรีและลาเวนเดอร์ที่มีต่อระดับความเครียดและวิตกกังวล การทดสอบทำกับนักศึกษาพยาบาลจำนวน 40 คน โดยให้คนเหล่านี้ทำข้อสอบแล้วมาจัดระดับความเครียด ชีพจร และความดันเลือด จากนั้นให้อาสาสมัครเหล่านี้ไปทำข้อสอบครั้งที่ 2 โดยสูดดมน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ก่อน และระหว่างการทำข้อสอบสุดท้ายให้ไปสอบครั้งที่ 3 โดยเปลี่ยนมาสูดดมน้ำมันโรสแมรี     นักวิจัยรายงานว่า นักศึกษาพยาบาลระบุว่า ในการสอบการสูดดมน้ำมันโรสแมรีช่วยได้มากกว่าน้ำมันลาเวนเดอร์โดยช่วยให้จำได้และตื่นตัวระหว่างการสอบ ส่วนลาเวนเดอร์นั้นทำให้ผ่อนคลายจนลดทอนความสามารถในการทำข้อสอบลงไป      นักวิจัยจึงสรุปว่า โรสแมรีช่วยเพิ่มการรับรู้ เพิ่มสมาธิและทำให้ตื่นตัวมากขึ้น  งานวิจัยหนึ่งเมื่อปี 2007 นักวิทยาศาสตร์ชาวไต้หวันได้วิเคราะห์สารสกัดจากใบโรสแมรี และระบุว่ามีสารประกอบสำคัญ 5 ชนิด ซึ่งพวกเขาทำการทดสอบ และได้ข้อสรุปในเวลาต่อมาว่า โรสแมรีเป็นสมุนไพรต้านอักเสบและป้องกันการเกิดเนื้องอก     ทั่วไปแล้วเราใช้โรสแมรีเพื่อรักษา กลิ่นตัว, กลิ่นเท้า ข้ออักเสบ, ไข้ขึ้น, ความจำ,ตะคริว, ทำให้ตื่นตัว, ปวดเท้าปวดศีรษะ, ป้องกันมะเร็ง, ผมร่วง, เพิ่มสมาธิ, ฟกช้ำ, รังแควิตกกังวล, หลอดเลือดขอด, อ่อนเพลีย

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

กลิ่น...อิทธิพลที่มีต่อจิตใต้สำนึกของเรา

กลิ่น...อิทธิพลที่มีต่อจิตใต้สำนึกของเรา 


  
        Anosmia คือภาวะการสูญเสียความสามารถในการดมกลิ่นทำให้เรารับกลิ่นได้อย่างเลือนลางหรือไม่ได้กลิ่นเลย เนื่องจากมีความผิดปกติของระบบรับกลิ่น ตั้งแต่เยื่อบุผนังโพรงจมูกโพรงจมูก,เส้นประสาทสมองหรือสมองใหญ่ โดยความผิดปกตินี้อาจจะเกิดขึ้นที่ตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใดก็ได้ ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นมา
         
         Anosmia มีผลเสียที่ร้ายแรงคือจะทำให้เราไม่ได้กลิ่นสารพิษหรือควันพิษที่เป็นอันตรายไม่สารมารถแยกกลิ่นบูดเน่าของอาหารได้ เราจะรับรู้อาหารได้เพี่ยงมิติของ ร้อน/เย็นแข็ง/อ่อน  รส เปรี้ยว , หวาน , มัน , เค็ม , เผ็ด , ขม ... ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาและค้นพบว่ากลิ่นมีผลต่อสัมผัสการรับรู้อาหารของเราถึง 70%-75%
         หากเป็น Anosmie  ในระยะยาวจะทำให้เป็นโรคซึมเศร้า อีกทั้งแรงขับดันทางเพศจะลดลง  .....อ๊ะ ...จิง .ดิ่ !
         คนโบราณจึงสรุปเอาง่ายๆ ว่าแรงขับดันทางเพศ มีสาเหตุมาจาก  "จมูก"  ที่รับกลิ่น ... นี่ละ ตัวดี   
         ดังนั้นชาวกรีกจึงลงโทษ อาชญากรทางเพศ ด้วยการ ตัด  . . .
. ......จมูก!
เห็นมะ ...รูปปั้นกรีกสมัยนั้น จมูกหักเต็มไปหมด......ฮาๆๆๆๆ  
ไม่เชื่ออย่าลบลู่นะ .... ขนาดติดกล้องวงจรปิดเอาไว้
ไฟลุกตอนไหน ยังไม่รู้ เร้ย....  อ้าว ไปกันใหญ่แล้ว